ประวัติอาร์เซนอล The Invincibles สโมสรฟุตบอลที่ไม่เคยแพ้ตลอดฤดูกาล

Arsenal FC: Artwork to adorn exterior of Emirates Stadium - BBC News

Arsenal ประวัติอาร์เซนอล สโมสรฟุตบอลที่ไม่เคยแพ้ตลอดฤดูกาล

ประวัติอาร์เซนอล สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล คือสโมสรฟุตบอลจากฮอลโลเวย์ ย่านลอนดอนเหนือ รู้จักกันในชื่อ “The Gunners” หรือ “ปืนใหญ่” เป็นสโมสรฟุตบอลที่เล่นในเอฟเอ พรีเมียร์ลีก ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1886 นับว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอีกทีมหนึ่งในฟุตบอลอังกฤษ โดยพวกเขาครองแชมป์ดิวิชั่น 1 รวม 13 ครั้ง เป็นเอฟเอคัพ 10 สมัย

อาร์เชนอล มีสนามเหย้าปัจจุบันคือ เอมิเรตส์สเตเดียม โดยได้ย้ายจากสนามเดิมอาร์เซนอลสเตเดียม ในย่านไฮบิวรี่ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 เมื่อพูดถึงสถิติการเล่นของอาร์เชนอล ต้องบอกว่า อาร์เซนอลแชมป์ไร้พ่ายแห่งพรีเมียร์ลึกอังฤษ เป็นสโมสรเดียวในพรีเมียร์ลีกที่ไม่เคยแพ้ตลอดฤดูกาล มีสีประจำสโมสรคือสีแดง-ขาว ปัจจุบันอาร์เซนอลเป็นสโมสรหนึ่งในกลุ่มจี-14

ปัจจุบัน Arsenal มีแฟนคลับชื่นชอบทั่วโลก  มีกลุ่มแฟนบอลที่ให้การสนับสนุนจำนวนมาก โดยมีคู่ปรับสำคัญหลายทีม ไม่ว่าจะเป็นคู่ปรับร่วมเมืองที่อยู่ไม่ไกล อย่าง ทอตแนมฮ็อตสเปอร์ นอกจากนี้แล้วยังเป็นสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในเกาะอังกฤษอีกด้วย

ประวัติสโมสรฟุตบอลอาร์เชนอล ความเป็นมา จุดเริ่มต้นของ “ปืนใหญ่” 

สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล เริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มคนงานที่ชอบเล่นฟุตบอลของโรงงานผลิตอาวุธรอยัลอาร์เซนอลในแขวงวูลิช กรุงลอนดอน รวมตัวกันก่อตั้งทีมฟุตบอลขึ้นเมื่อปลายปี ค.ศ. 1886 โดยใช้ชื่อในตอนแรกว่า “ไดอัล สแควร์” การแข่งขันนัดแรกของพวกเขาคือเกมที่สามารถคว้าชนะเหนือทีมอีสเทิร์น วันเดอเรอร์ส 6-0 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1886 หลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนชื่อเป็น “รอยัลอาร์เซนอล

โดยพวกเขายังแข่งขันในกลุ่มอุ่นเครื่องและรายการท้องถิ่นอยู่ในขณะนั้น จากนั้นจึงก้าวขึ้นมาเป็นสโมสารฟุตบอลอาชีพ พร้อมกับการเปลี่ยนชื่อทีมเป็น “วูลิชอาร์เซนอล” ในปี ค.ศ. 1891 ด้วยความฟอร์มแรงของอาร์เชนอล จึงทำให้ทีมได้เข้าร่วมการแข่งขันในฟุตบอลลีกเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1983 ในดิวิชั่น 2 จากนั้นในปี 1904 ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ดิวิชั่น 1 เป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม ในทางด้านภูมิศาสตร์จะเห็นว่า อาร์เชนอล ตั้งอยู่แขวงวูลิชซึ่งมีความโดดเดี่ยวเกินไป ทำให้มีจำนวนผู้ชมมีน้อยกว่าสโมสรอื่น ทีมเลยประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จนนำไปสู่การยุบทีมในปี 1910 เมื่อเฮนรี นอร์ริสได้เข้ามาเทคโอเวอร์

นอร์ริส พยายามที่จะย้ายที่ตั้งของสโมสรไปอยู่ที่อื่นจนกระทั่งในปี 1913 หลังจากที่ตกชั้นดิวิชั่น 1 มาอยู่ดิวิชั่น 2 เหมือนเดิมนั้น อาร์เซนอลก็ได้ย้ายไปอยู่ที่อาร์เซนอลสเตเดียมในย่านไฮบิวรี่ บริเวณทางตอนเหนือของลอนดอน และในใบถัดมาก็ได้ตัดสินใจตัดคำว่า “วูลิช” ออกไปจากชื่อสโมสรจนเหลือเพียง “อาร์เซนอล” อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

การก้าวสู่ความสำเร็จของ สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ลีกดิวิชั่น 1 ได้ประกาศเพิ่มจำนวนทีมเป็น 22 ทีม อาร์เซนอลได้อันดับ 5 ของดิวิชั่น 2 ในปี 1919 แต่ถึงกระนั้นก็ได้รับเลือกให้กลับขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 อีกครั้ง และอาร์เซนอลก็ไม่เคยถูกลดชั้นหรือตกชั้นเลยนับตั้งแต่นั้นมา

อาร์เซนอลได้ว่าจ้างให้ เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นผู้จัดการทีม แชปแมนเคยพาสโมสรฟุตบอลฮัดเดอร์สฟิลด์ทาว์นคว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 2 สมัยคือฤดูกาล 1923-24 และ 1924-25 ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งนี้ และแชปแมนคือคนแรกที่พาอาร์เซนอลก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความสำเร็จยุคแรก

เฮอร์เบิร์ต แชปแมน
เฮอร์เบิร์ต แชปแมน

แชปแมนจัดการเปลี่ยนแปลงระบบการซ้อมและแทคติคใหม่ทั้งหมด และซื้อนักเตะระดับแนวหน้ามาร่วมทีม อย่าง อเล็กซ์ เจมส์ และคลิฟฟ์ บานติน เมื่อทั้งทีมมีความแข็งแกร่งทำให้อาร์เซนอลก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ในวงการลูกหนังอังกฤษ ในช่วงทศวรรษที่ 1930 อาร์เซนอลคว้าแชมป์รายการใหญ่ ๆ ได้เป็นครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของแชปแมน

โดยสามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ฤดูกาล 1929-30 และแชมป์ลีก 2 สมัยคือฤดูกาล 1930-31 และ 1932-33 นอกจากนั้น แชปแมนยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟใต้ตินที่อยู่ในย่านนั้นคือ Gillespie Road เป็นสถานีรถไฟใต้ดิน “อาร์เซนอล” อันเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอลโดยเฉพาะ

สถานีรถไฟใต้ดินก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น “อาร์เซนอล”

แต่แล้วแชปแมนเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคปอดบวมเมื่อต้นปี 1934  หลังจากนั้น โจ ชอว์ และ จอร์จ อัลลิสัน ที่เข้ามารับตำแหน่งก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน

พวกเขาพาอาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีก 3 สมัย (ฤดูกาล 1933-34, 1934-35 และ 1937-38) และเอฟเอคัพ 1 สมัย (1935-36) อย่างไรก็ตาม อาร์เซนอลก็เริ่มถดถอยลงเรื่อย ๆ ในช่วงปลายทศวรรษเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 การแข่งขันฟุตบอลอาชีพทุกรายการในอังกฤษต้องยุติลง

ทอม วิทเทคเกอร์
ทอม วิทเทคเกอร์

หลังจบสงครามโลกครั้งที่2 ทอม วิทเทคเกอร์ ผู้สืบทอดตำแหน่งของอัลลิสันได้เข้ามาบริหารทีม อาร์เซนอลจึงกลับมาประสบความสำเร็จได้อีก 2 ครั้งคือฤดูกาล 1947-48 และ 1952-53 ที่ได้แชมป์ลีก และ 1949-50 ที่ได้แชมป์เอฟเอคัพ

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น โชคก็เหมือนจะไม่เข้าข้างอาร์เซนอลเท่าไรนัก สโมสรไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนักเตะชุดเดียวกับที่เคยอยู่ในทีมช่วงทศวรรษ 1930 ให้กลับเข้าสู่ทีมได้

ในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 นั้น อาร์เซนอลกลายเป็นทีมระดับธรรมดาทั่วไปที่ไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรได้เลย แม้แต่ บิลลี ไรท์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษที่ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีมนั้นก็ไม่สามารถนำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้เลยในช่วงปี 1962-1966 ที่เข้ามาคุมทีม

บิลลี ไรท์
บิลลี ไรท์

ต่อมา สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ได้ว่าจ้างให้ เบอร์ตี้ มี นักกายภาพบำบัดให้มารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 1966 ก็ได้ทำให้ทีมกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งหนึ่งอย่างไม่มีใครคาดคิด อาร์เซนอลสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศลีกคัพได้ 2 สมัยแต่ก็พลาดแชมป์ทั้งสองครั้ง

ถึงแม้จะพลาดลีกคัพไป แต่พวกเขาก็ยังคว้าแชมป์อินเตอร์ซิตี้แฟร์สคัพ ฤดูกาล 1969-70 ซึ่งเป็นถ้วยยุโรปใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสรแต่ก็ยังสามารถคว้าแชมป์อินเตอร์ซิตี้แฟร์สคัพ ฤดูกาล 1969-70 ซึ่งเป็นถ้วยยุโรปใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ตามมาด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรก นั่นคือแชมป์ลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาล 1970-71

ในทศวรรษต่อมา อาร์เซนอลทำได้แค่เพียงการเข้าไปใกล้ตำแหน่งแชมป์มากที่สุดแต่ก็แทบจะไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ โดยได้รองแชมป์ลีกในฤดูกาล 1972-73 รองแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 1971-72, 1977-78 และ 1979–80 และยังพ่ายแพ้ในเกมยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพรอบชิงชนะเลิศด้วยการดวลจุดโทษอีกด้วย

สโมสรประสบความสำเร็จเพียงครั้งเดียวในช่วงนี้ก็คือการคว้าแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 1978-79 ได้ด้วยการเอาชนะ แมนยู ไปได้ 3-2 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญกันมากในเรื่องของความคลาสสิคของเกมนี้

ประวัติอาร์เซนอล อาร์เซนอลแชมป์ไร้พ่ายแห่งพรีเมียร์ลึกอังฤษ

จอร์จ แกรแฮม อดีตนักเตะ กลับเข้ามาสู่วงการฟุตบอลอีกครั้ง ในฐานะผู้จัดการทีมของอาร์เซนอลในปี 1986 สร้างผลงานโดดเด่นด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ได้ 3 สมัย อาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกคัพได้ในฤดูกาล 1986-87 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่แกรแฮมเข้ามาคุมทีม จากนั้นก็มาได้แชมป์ลีกในฤดูกาล 1988-89 ด้วยการคว้าแชมป์จากประตูในนาทีสุดท้าของเกมที่พบกับลิเวอร์พูล

ประวัติอาร์เซนอล

จากนั้น อาร์เซนอลภายใต้การคุมทีมของแกรแฮมนั้นก็ได้แชมป์ลีกอีกในปี 1990-91 โดยแพ้ไปเพียงเกมเดียวเท่านั้น และสามารถคว้าแชมป์ดับเบิลแชมป์เอฟเอคัพพร้อมกับลีกคัพได้ในฤดูกาล 1992-93 และถ้วยยุโรปใบที่ 2 คือยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพในฤดูกาล 1993-94 ได้

อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของแกรแฮมก็กลายเป็นความเสื่อมเสียเมื่อมีการเปิดเผยว่าเขาได้รับเงินสินบนจาก Rune Hauge เอเยนต์ของนักเตะในการซื้อตัว จากนั้น แกรแฮมก็โดนไล่ออกในปี 1995 และ บรูซ ริออช ก็เข้ามารับตำแหน่งแทน ซึ่งได้คุมทีมอยู่เพียงฤดูกาลเดียวก่อนที่จะลาออกไปเนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร

ประวัติอาร์เซนอล
George Graham

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร ปลายทศวรรษที่ 1990 และ 2000 จนได้รับฉายาว่า “อาร์เซนอลผู้ไร้เทียมทาน”

อาร์แซน เวนเกอร์ เข้ามาดำรงตำแหน่ง กุนซือ อาร์เซนอล ทีมในปี 1996 เวนเกอร์นำแทคติคใหม่มาใช้ โดยนำการซ้อมแบบใหม่เข้ามาและนำนักเตะต่างชาติ นักเตะ อาร์เซนอล ล่าสุด ที่สามารถปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้มาเสริมทีมจำนวนมาก อาร์เซนอลจึงสามารถคว้าดับเบิลแชมป์ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1997-98 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกและแชมป์บอลถ้วย และได้ดับเบิลแชมป์ที่ 3 ในฤดูกาล 2001-02

นอกจากนั้น สโมสรยังสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าคัพได้ในฤดูกาล 1999-00 (แพ้จุดโทษให้กับกาลาตาซาราย แต่มาได้แชมป์เอฟเอคัพ ในฤดูกาล 2002-03 และ 2004-05 อาร์เซนอลได้แชมป์พรีเมียร์ลีก อีกครั้งในปี 2003-04 ซึ่งเป็น แชมป์พรีเมียร์ลีกโดยที่ไม่แพ้ ทีมใดเลยจนได้รับฉายาว่า “อาร์เซนอลผู้ไร้เทียมทาน” (The Invincibles) และสามารถทำสถิติไม่แพ้ติดต่อกัน 49 นัดได้ในฤดูกาลต่อมา ซึ่งนับว่าเป็นสถิติสูงสุดของประเทศอีกด้วย

ประวัติอาร์เซนอล

อาร์เซนอลจบฤดูกาลด้วยอันดับ 1 หรืออันดับ 2 รวมทั้งสิ้น 8 ฤดูกาลจาก 11 ฤดูกาลที่อาร์แซน เวนเกอร์ก้าวเข้ามาคุมทีม อาร์เซนอลเป็นหนึ่งในสี่สโมสรเท่านั้นที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ตั้งแต่ก่อตั้งลีกสูงสุดนี้ขึ้นในปี 1993

แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้แม้แต่สมัยเดียวก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ อาร์เซนอลยังไม่เคยตกรอบที่ต่ำกว่ารองก่อนรองชนะเลิศในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเลย โดยในฤดูกาล 2005-06 สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ ซึ่งเป็นทีมแรกจากกรุงลอนดอนที่สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปได้ในรอบ 15 ปี แต่กลับแพ้ให้กับบาร์เซโลนา 2-1 อย่างน่าเสียดาย

จากนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 อาร์เซนอลก็ได้ยุติประวัติศาสตร์ 93 ปีที่ไฮบิวรีลง โดยการย้ายสนามเหย้ามาอยู่ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียมอันเป็นที่ตั้งของสโมสรในปัจจุบันนี้

ประวัติอาร์เซนอล

เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 ในปลายปี ค.ศ. 1999 อาร์เซนอลได้รับการจัดลำดับจากสำนักข่าวบีบีซีให้เป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 100 ปี โดยพิจารณาจากสถิติ และปัจจัยต่าง ๆ โดยมี เอฟเวอร์ตัน และ ลิเวอร์พูล เป็นอันดับสอง และสาม ตามลำดับ

ติดตามเว็บไซต์ที่น่าสนใจเพิ่มเติม : มังงะ

อ่านบทความเพิ่มเติม >>> ประวัติเชลซี