กีฬาไม่จำกัดเพศ! “พิฆเนศ สุขหยิก” นักกีฬาไทยLGBTQ ผู้กลายเป็นไวรัลชั่วข้ามคืน
เดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ ได้เข้ามาแล้ว ในประเทศไทยเราเองก็มีการยอมรับในความหลากหลายทางเพศมากขึ้น สำหรับในวงการกีฬาบ้านเราเองก็มีนักกีฬาที่มีความหลากหลายทางเพศอยู่เหมือนกัน ซึ่งล่าสุดกำลังกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ คือ “จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทยที่เป็นเพศทางเลือก ที่เธอได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา หลังเก็บชัยชนะสำเร็จ
โดยในวันนี้ทางเราก็จะขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเธอคนนี้กัน นอกจากในเส้นทางกีฬาการต่อสู้ของเธอบนสังเวียน เธอยังเข้าร่วมต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมในสังคมเช่นกัน โดยเธอคนนี้ก็เป็นกระบอกเสียงแห่งความภาคภูมิใจของคนกลุ่ม LGBTQ ด้วย ตลอดเส้นทางการเป็นทั้งนักกีฬา และ LGBTQ นักกีฬาไทยLGBTQ เธอต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักกว่าที่จะประสบความสำเร็จจนได้รับการยอมรับในสังคมอย่างทุกวันนี้
การค้นพบตัวตนของ “จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทยที่เป็นเพศทางเลือก
จิมมี่ หรือ พิฆเนศ สุขหยิก นั้นมีร่างกายเป็นผู้ชาย แต่จิตใจของเธอเป็นผู้หญิง แต่ด้วยความสดใสของเธอเอง ก็ทำให้มีผู้คนรอบข้างหลงรักและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเธอ ในวันที่ถูกกระแสดราม่าโถมใส่ โดยเธอได้กล่าวถึงเรื่องราวในวัยเด็กไว้ว่า เธอเป็คนที่มีความ สวย เริ่ด และค้นพบว่าตัวเองนั้นชอบผู้ชาย มีช่วงเวลาที่รู้สึกใจเต้นแรงกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ ป.1 หลังจากนั้นเธอก็เริ่มไปนั่งรอเขาที่หน้าเสาธง
รอเข้าแถวพร้อมกัน เหมือนกับรักในวัยเด็กทั่วไป ที่อยากจะใกล้ชิดกับคนที่เราชอบ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเพศทางเลือก ถึงแม้ว่าเธอจะค้นพบตัวตนได้เร็ว และคนที่บ้านก็ยอมรับอยู่บ้าง ทว่าลึก ๆ แล้ว คนที่บ้านก็ยังมีความพยายามที่จะเปลี่ยนใจจิมมี่ ให้กลับมาเป็นผู้ชายอีกครั้ง ซึ่งความคาดหวังนี้เองก็ที่เป็นสิ่งผลักดันให้เธอเข้าเข้าสู่เส้นทางการเป็น นักกีฬาทีมชาติ
“ตอนเด็ก ๆ หนูเป็นนักกีฬาโรงเรียนอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เป็นนักกีฬาต่อสู้ เพราะเรากลัวเจ็บ แถมยังรักสวยรักงามด้วย ถึงพ่อแม่จะเข้าใจแต่ท่านก็ยังคิดว่ามันน่าจะมีวิธีที่เปลี่ยนเราให้กลับมาเป็นผู้ชายได้อีกครั้ง ก็เลยแนะนำให้หนูไปเล่นกีฬาต่อสู้อย่างคาราเต้” เธอกล่าว
ช่วงนั้นเป็นจังหวะที่พี่ของเธอที่เป็นญาติกัน กลับมาจากโรงเรียนกีฬานครศรีธรรมราช ซึ่งเขาเป็นนักกีฬาคาราเต้โด แล้วทุกคนก็เห็นว่าพี่ของเธอกลับบ้านมาแล้วมีพฤติกรรมดี มีอะไรหลายอย่าง เปลี่ยนไป มีผลงานด้านกีฬา แม่ก็เลยชักชวนให้เธอลองไปเล่นคาราเต้ดูบ้าง เผื่อว่าสิ่งนี้จะเปลี่ยนอะไรเธอได้บ้าง แต่ตอนนั้นเธอก็กลัวเจ็บ จึงบอกแม่ไปว่า ถ้าเป็นคาราเต้ก็ไม่อยากเล่นเพราะว่ากลัวเจ็บตัว แต่ถ้าเป็น วอลเลย์บอลหรือตะกร้อ จะโอเคมากกว่า
หลังจากพยายามหากีฬาที่ไม่ใช่กีฬาการต่อสู้และไปคุยกับแม่ แต่สุดท้ายก็เจ็บที่ คาราเต้
“ตัวเราตอนนั้นก็อยากไปเรียนที่โรงเรียนกีฬาด้วย เพราะสังคมละแวกบ้านไม่ค่อยดีมีปัญหาสังคมมากมาย ทั้งยาเสพติด ท้องก่อนวัยอันควร ซึ่งเรารู้สึกว่าชีวิตเราต้องไปได้ไกลกว่านี้ จะมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจเก็บกระเป๋าเข้าเส้นสู่ทางกีฬา”
อยากไปให้ไกลกว่านี้ แม้ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ แต่จะไปให้ถึงที่สุด และไม่คิดยอมแพ้
พิฆเนศ สุขหยิก เดินเข้าสู่รั้วโรงเรียนกีฬา ของจังหวัดนครศรีธรรมราช เธอต้องสวมชุดคาราเต้ ทั้งที่ไม่รู้จักกีฬาชนิดนี้มาก่อนด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าจะต้องเล่นยังไง สู้ยังไง ทุกอย่างเริ่มต้นจากศูนย์ และเธอก็ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามสเต็ป ถึงเส้นทางที่เธอเลือกจะหนักแค่ไหน แต่มันก็ไม่สำคัญ ขอแค่เธออยู่ห่างจากสังคมที่บ้านไว้ก่อน
“หนูไม่มีเบสิคเลย คาราเต้เป็นกีฬาใหม่มากๆ สำหรับหนู ไม่รู้จักมาก่อนเลยมันคือกีฬาอะไร เล่นยังไง วันแรกหนูก็วิ่งทำร่างกายซิทอัพดันพื้นปกติ รู้สึกสนุกนะ เพราะมันยังไม่ซีเรียส ไม่มีรูปแบบการแข่งขัน แต่พอขึ้น ม.1 เทอม 2 ก็เริ่มมีการแข่งขัน เพราะเกณฑ์เราสามารถลงแข่งได้ ตอนนั้นก็เริ่มมีความกดดัน ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจะได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่ง เหมือนจุดประกายให้เราต้องมีความฝัน”
“เหมือนสังคมตรงนั้นมันบีบให้เราต้องสู้ ถ้าเราอยากจะเป็นหนึ่ง เราอยากจะป็นนางพญาผมยาว อยากเป็นที่ยอมรับ หรือเป็นตัวเลือกให้กับโค้ช ก็ต้องมุ่งมั่นก็เอาตรงนี้มาเป็นแรงบันดาลใจ”
หลังจากขึ้น มัธยมปีที่ 3 – 4 เธอก็เริ่มจริงจังกับคาราเต้มากขึ้น แต่เส้นทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบหุหลาบ เพราะในช่วงแรก ๆ เธอมักจะแพ้ตลอด จนเกิดความท้อ เพราะไม่ชนะใครเลย ได้อันดับสุดท้ายตลอด แต่ครอบครัวของเธอก็ส่งกำลังใจมาให้เสมอ บอกให้เธอสู้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่แรก แต่ใช้พรแสวงเยอะมากกว่าใครอื่น แถมแม่ของเธอก็ให้พลังงานบวกแก่เธอทุกวัน
หากเปรียบกับเพื่อน ๆ นักกีฬาคนอื่นหลายคนที่เข้ามาเล่น บางคนเข้ามาเล่นได้ไม่นานก็คว้าเหรียญกลับไปได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอรู้ว่าตัวเธอต้องใช้ความอดทนอย่างมาก จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปีกว่าที่เธอจะคว้าเหรียญทองแดงมาได้ จากนั้นก็ใช้เวลากว่าจะคว้าเหรียญเงินมา และก็ใช้เวลาอีกกว่าจะได้เหรียญทอง หลังจากนั้นเธอก็ยังต้องรักษาฟอร์มการแข่งของเธอให้ได้เหรียญทองตลอดจนติดทีมชาติ
“เส้นทางของหนูค่อนข้างที่จะยากหน่อย เคยท้อร้องไห้หนักมากๆ จนอยากจะเลิกเล่นไปหลายรอบมาก อยากจะออกจากโรงเรียนกีฬาแล้วเปลี่ยนมาเรียนสายอาชีพ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ม.3 ขึ้น ม.4 แต่โค้ชยุทธนา ศรีประพันธ์ ไม่รู้ว่าเห็นอะไรในตัวหนู เขาพยายามทำทุกวิถีทาง ใช้จิตวิทยาทุกอย่างๆ พูดกับหนูเพื่อให้อยู่ต่อ จำได้เลยว่าเขาบอกว่าครูจะทำให้หนูติดทีมชาติให้ได้ในปีนี้ แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ขอบคุณครูที่ไม่เคยทอดทิ้งหนู คอยดึงหนูให้มาอยู่จุดนี้ เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จ”
นักกีฬาเพศทางเลือก ผู้เป็นกระบอกเสียงให้ LGBTQ ทั้งโลก
แม้ว่าเธอจะผ่านการแข่งขัน คาราเต้สมัครเล่น มาหลายการแข่งขัน และต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองมาอย่างหนัก แต่ในวันนี้ พิฆเนศ สุขหยิก ได้ตัดสินใจเบนเข็มหาความท้าทายใหม่กับ กีฬาคิกบอกซิ่ง ก่อนจะพิสูจน์ตัวเองจนได้เป็นตัวแทนทีมชาติไทยอีกครั้ง ซึ่งในซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กัมพูชาที่เพิ่งจบลงไป ชื่ออของ พิฆเนศ สุขหยิก กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จากคลิปที่เธอทำ slow mo-turn หลังจบการแข่งขันแต่ดันกลายเป็นดราม่าใหญ่โต
เพราะสหพันธ์กีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งเอเชีย ไม่พอใจ เนื่องจากมองว่า เป็นการไม่ให้เกียรติคู่แข่ง โดยเรื่องนี้ถึงขั้นให้ นักกีฬาไทยLGBTQ เซ็นสัญญาไม่ให้ทำอีก ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นดราม่า เพราะกระแสในโลกออนไลน์นั้นมองว่า สิ่งที่จิมมี่ทำ เป็นสิ่งที่น่ารักและไม่ได้ผิดกฎหรือดูไม่ให้เกียรติ พร้อมมองว่าสหพันธ์คิกบ็อกซิ่งเอเชียต่างหากที่ไม่เคารพสิทธิของจิมมี่ เหตุการณ์ในครั้งนี้ สร้างความไม่พอใจให้ฝั่งไทยอย่างมาก ถึงขั้นจะตัดสินใจถอนทีมจากการแข่งขันทุกคน
หากไม่ให้ นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทยที่เป็นเพศทางเลือก ลงแข่งขันต่อ เพื่อแสดงจุดยืนที่จะอยู่เคียงข้างจิมมี่จนสุดท้าย สามารถกลับมาลงแข่งขัน และได้เหรียญทองแดง
“หนูตั้งเป้าชัดเจนมากว่าอยากได้เหรียญทองซีเกมส์ เพราะหนูซ้อมหนักมาก ๆ ในทุกวัน ทุ่มเททุก ๆ อย่าง ทั้งวิ่ง เวทเทรนนิ่ง รวมถึงเทคนิคของคิกบอกวิ่ง มันหนักมากจริง ๆ จนรู้สึกว่าเราพร้อมที่จะเป็นผู้ชนะตลอดเวลา พวกหนูก็ค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าจะคว้าเหรียญทองได้แน่นอน อีกอย่างเพราะเราเป็นตัวแทนทีมชาติไทยด้วยจึงต้องทุ่มเททุกอย่างสุดความสามารถ”
ในวันที่เกิดกระแสขึ้น เธอไม่ได้คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ปกติเวลาที่เธอชนะเธอจะรู้สึกมั่นใจและทำแบบนี้ประจำอยู่แล้ว ก่อนหน้าที่จะได้แชมป์เอเชียเธอก็เคยทำ และทำมาก่อนที่เธอจะขึ้นชกด้วยซ้ำ พอชนะก็ทำอีก ไม่คิดว่าจะกลายเป็นไวรัลขนาดนั้น และรู้สึกช็อคที่กลายเป็นไวรัล เธอแค่แสดงถึงความดีใจที่ได้เป็นผู้ชนะ
“จริงๆ ตกใจมากเพราะมันเป็นอะไรที่ข้ามคืนจริง ๆ ตื่นมายอดวิวก็เป็นล้านแล้ว หนูไม่เคยมียอดวิวมากขนาดนี้มาก่อน และมันไม่ได้อยู่แพลตฟอร์มของในประเทศไทยด้วย นึกว่าจะจบแค่นั้น ไม่คิดว่ามันจะแพร่ไปหลายประเทศ เพราะคลิปนั้นมันของเวียดนาม น่าจะจบแค่ซีเกมส์ แต่มันดันกระจายไปทั่ว ดังไปเลย”
“ในกรณีของสหพันธ์ฯ มันเป็นดราม่าที่หนูคิดว่ามันจะจบไปแล้วเพราะเราได้ขอโทษไปแล้ว เราอยากจะคงสิทธิ์เอาไว้เพื่อจะแข่งต่อไปให้ถึงเป้าหมายของเรา แต่มันดันไม่จบ โชคดีที่ได้พี่ๆ แฟนๆ LGBTQ นักกีฬาไทยLGBTQ ทั่วอาเซียนออกมาช่วยกันปกป้องสิทธิ์ของเรา เพราะที่หนูมันไม่มีตรงไหนที่ผิดกติกาเลย กรรมการประกาศให้หนูชนะแล้ว หนูถึงแสดงออกด้วยซ้ำ คือระหว่างต่อสู้หนูก็โฟกัสอยู่กับการแข่งขัน ซึ่งในความรู้สึกหนูหรือในกฎมันไม่บอกเอาไว้ว่าการดีใจแบบนางงามมันผิดของกีฬาต่อสู้”
“สมาคมฯ และกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ รวมถึงสตาฟฟ์โค้ช เพื่อนนักกีฬาทุกคนอยู่เคียงข้างหนูตลอด ร่วมกันต่อสู้เพื่อทวงสิทธิของเรา ตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงตีสามตีสี่ผู้ใหญ่ของเราไม่ได้นอนเลย แต่ทางผู้ใหญ่ไม่อยากให้หนูแบกรับแรงกดดัน หนูเพิ่งมารู้ว่าการที่หนูขอโทษมันไม่จบก่อนจะขึ้นชกเพียงแค่ชั่วโมงเดียว”
ในตอนนั้นถ้าเธอไม่ได้แข่ง ทุกคนในทีมทั้งทักกีฬาและโค้ชต่างตกลงกันว่า ยอมถอนทีมสละสิทธิ์ทั้งหมด เพื่อปกป้องสิทธิความเป็นคนเอาไว้ที่คน ๆ หนึ่งที่ควรจะได้ ซึ่งกลายเป็นภาพความน่าประทับใจอย่างมาก สำหรับทีมชาติไทย
ความภาคภูมิใจของ “จิมมี่” กับการเป็น LGBTQ นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทยที่เป็นเพศทางเลือก
จิมมี่ยอมรับว่าการถูกโดนบูลลี่เรื่องเพศสภาพนั้น เธอพบเจออยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ยังโชคดีที่ไม่เคยได้รับความรุนแรงจากสังคมรอบข้าง ในสมัยที่เธอเข้าเรียนในโรงเรียนกีฬาใหม่ ๆ เธอเลือกที่จะปกปิดตัวตนของตัวเองเอวไว้มาตลอด ไม่กล้าเปิดเผยให้ใครหลาย ๆ คนรู้ แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง เธอก็ฉุกคิดว่า การเป็นเพศทางเลือกก็ไม่ได้ผิดพลาดตรงไหน สุดท้ายก็ตัดสินใจเผยความจริงออกมาให้ทุกคนทั้งโรงเรียนรับรู้
ทว่าผลตอบรับก็เป็นไปในทิศทางที่ดี ทั้งครูและอาจารย์และเพื่อน ๆ ในโรงเรียนต่างให้การยอมรับด้วยดีทุกคน ทำให้เธอมีความสุขอย่างมาก กับการใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนและสามารถโฟกัสกับการเล่นกีฬาได้อย่างเต็มที่ จิมมี่ทิ้งท้ายอย่างทรงพลังและฝากไปถึง LGBTQ ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ นักกีฬาไทยLGBTQ ว่าเข้าใจดีถึงคนที่ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตน อาจจะด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่าง
“แต่เชื่อหนูเถอะค่ะว่าการที่เรารักตัวเองเป็นตัวเองไม่ได้ทำร้ายใคร ทั้งภายในและภายนอก ทั้งต่อหน้าหรือลับหลังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว คนจะรักหรือคนจะเกลียดเป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นมองทุกคนอย่างเข้าใจ เคารพตัวเอง รักตัวเองให้มากๆ มองคนอื่นอย่างเข้าใจอย่างเป็นธรรมชาติเท่านี้เราจะพบความสุขว่าการเป็นตัวเองมันดีมากๆ ขนาดไหน”
“ความเท่าเทียมในโลกปัจจุบัน เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น จากไวรัลของหนู หนูสัมผัสมันมันชัดเจนที่สุด หนูรับรู้ได้เลยว่าจากยังมีคนจากอีกซีกโลกให้การยอมรับ มีคน ทักหรือแท็กมาหาหนู ขอบคุณหนู ที่ช่วยคอลเอ้าท์ให้กลุ่มคนเพศทางเลือกบนเวทีการแข่งขันเวทีกีฬา ซึ่งอย่างวอลเลย์บอลอาจจะเป็นภาพชัดอยู่แล้วและเข้าถึงง่ายมากกว่า แต่สำหรับหนูมาในรูปแบบของกีฬาต่อสู้ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่ มีนักกีฬาจาก บราซิล เปอร์โตริโก สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ให้กำลังใจ มาขอบคุณแสดงความยินดีที่ได้เหรียญ”
ส่วนเป้าหมายของเธอหลังจากนี้ เธอจะมุ่งมั่นกับกีฬาเหมือนเดิมเพื่อเป้าหมายใหญ่ ซึ่งก็คือ ทัวร์นาเมนต์เวิลด์เกมส์ 2025 ซึ่งเป็นมหกรรมกีฬาสูงสุดของกีฬาคิกบ็อกซิ่ง ขณะเดียวกันเธอก็จะยังคงความสวย ความเฟียส แบบนี้ไว้ และสัญญาว่าจะยืนหยัดเป็นกระบอกเสียงต่อไป
“ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ต้องมีความเท่าเทียมกัน” นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทยที่เป็นเพศทางเลือก กล่าว
ติดตามเว็บไซต์ที่น่าสนใจเพิ่มเติม : มังงะ
อ่านบทความเพิ่มเติม >>>