เล่าชีวิตบนลู่วิ่งของ “ยูเซน โบลต์” นักวิ่งฝีเท้าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก

“ยูเซน โบลต์” นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก นักวิ่งฝีเท้าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ตำนานแห่งวงการกรีฑาโลก

ยูเซน โบลต์ เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกในฐานะ นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก เจ้าลมกรดผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล หรือ นักวิ่งฝีเท้าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เขาคือ นักกรีฑาชาวจาเมกา ที่คว้า 8 เหรียญทองจากการแข่งขันโอลิมปิก ปัจจุบันโบลต์ได้อำลาลู่วิ่งในฐานะ นักกรีฑาอาชีพ ไปแล้ว หลังจากจบการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลกที่กรุงลอนดอน ซึ่งในวันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเขากัน

พร้อมกับเหตุลที่ทำไมเขาสมควรได้รับการยกย่องให้เป็น ตำนานแห่งวงการกรีฑาโลก นับตั้งแต่ที่นักวิ่งชาวจาเมกาคนนี้ก้าวลงสนาม โลกของกรีฑาก็ไม่หมือนเดิมอีกตลอดไป เพราะเขาได้กลายเป็นคนหนึ่งที่ทำลายสถิติของประวัติศาสตร์กรีฑา  ภาพจำของเขาในความทรงจำของทุกคนคือ ยอดนักวิ่งที่มาพร้อมกับความมั่นใจเต็มพิกัด มีท่วงท่าลีลายียวน

ในขณะเดียวกันก็เป็นเสน่ห์เฉพาะตัว ทำให้ผู้คนที่เห็นเขาก็ยิ้มตาม สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจเต็มเปี่ยมก็คือเมื่อไหร่ที่สัญญาณในการปล่อยตัวเริ่มขึ้น เขาคือคนที่เร็วที่สุด และเขารู้ ว่าผู้ชนะจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น หลายคนคงสงสัยว่าเขาไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน?

ประวัติ “ยูเซน เซนต์” จากเด็กที่อยู่นิ่งไม่เป็นสู่ยอดมนุษย์สายฟ้าที่ไล่ตามไม่ทัน 

ยูเซน เซนต์ ลีโอ โบลต์ เกิดในวันที่ 21 สิงหาคม ปี 1986 ณ หมู่บ้าน เชอร์วูด คอนเทนต์ ในประเทศจาเมกา โดยเป็นลูกของ เจนนิเฟอร์ ที่ทำอาชีพรับจ้างทำนา กับ เวลเลสลี่ย์ เจ้าของร้านขายของชำ ซึ่งทั้งคู่เคยเป็นนักวิ่งมาก่อน โบลต์เกิดช้ากว่ากำหนด 1 สัปดาห์ครึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นครั้งเดียวที่เขาช้าในชีวิต

ในวัยเด็กโบลต์คือเด็กที่มีพลังงานล้นเหลือ และไม่เคยอยู่นิ่งทำให้เวลเลสลี่ย์กังวลว่าลูกชายจะเป็นเด็กไฮเปอร์แอกทีฟ จึงนำไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และได้รับคำวินิจฉัยว่าความคิดของเขาถูกต้อง แพทย์บอกว่าเขามีภาวะไฮเปอร์แอกทีฟ มีพลังงานล้นเหลือ ดังนั้นเราต้องปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ แต่ต้องคอยดูแลไม่ให้ได้รับอันตราย

ด้วยความเป็นเด็กไฮเปอร์ การเล่นกีฬาจึงถูกกับจริตของเด็กประเภทนี้ แต่สิ่งที่เขาสนใจตอนแรกไม่ใช่การวิ่งที่ต่อมาได้สร้างชื่อให้เขาโด่งดังระดับโลก นักวิ่งฝีเท้าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก กลับเป็นกีฬาฟุตบอลและคริกเก็ตที่เขาใช้ผลส้มกับต้นกล้วยมาเป็นอุปกรณ์การเล่น อย่างไรก็ตาม เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ หลังจากเข้าเรียนที่โรงเรียนประถม เขาก็ได้เข้าสู่โลกแห่งการวิ่ง และพรสวรรค์ก็เริ่มฉายแวว

เมื่ออายุ 10 ขวบเขาวิ่งเอาชนะแม่ของตัวเองได้ และ 2 ปีต่อมา เขาก็กลายเป็นเด็กที่วิ่งเร็วที่สุดในโรงเรียนในระยะที่มากกว่า 100 เมตร เมื่อเข้าสู่ระดับไฮสคูลเขาเลือกคริกเก็ตเป็นวิชาเอก อย่างไรก็ตาม ด้วยความไฮเปอร์ บวกกับความเร็วที่เขาแสดงให้เห็นในการแข่ง ทำให้โค้ชคริกเก็ตชี้แนะให้เจ้าตัวนำความสามารถไปใช้กับลู่วิ่ง

โบลต์เชื่อฟังคำแนะนำ และหันไปเอาจริงเอาจังกับการวิ่ง ภายใต้การโค้ชของ พาโบล แม็คนีล อดีตนักกรีฑาระดับโอลิมปิก และพอถึงวัย 14 ปี เขาก็คว้าเหรียญเงินจากการลงแข่ง 200 เมตรในกีฬานักเรียนชิงแชมป์แห่งชาติ จากนั้นในปีต่อมา นักวิ่งฝีเท้าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ก็ก้าวไปสู่ความสำเร็จระดับโลก

เรื่องราวที่เหลือจากนั้นคือประวัติศาสตร์ จากนักวิ่งหน้าใหม่ในระดับมัธยมสู่การเป็นเจ้าของ 8 เหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก โดย 6 เหรียญในนั้นคือการคว้าเหรียญทองในการแข่งวิ่ง 100 และ 200 เมตร ใน 3 สมัยติดต่อกัน (ปักกิ่ง 2008, ลอนดอน 2012 และริโอ 2016) แน่นอนว่าไม่เคยมีใครทำผลงานได้แบบเขา และผลงานเหล่านั้นก็ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น ยอดลมกรดตลอดกาลของโลก

นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก

ความลับของยอดมนุษย์สายฟ้า นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก ที่มักจะแสดงลีลาให้คนดูเสมอ

ลีลายียวนที่ทำให้คนดูชอบใจ ไม่ใช่การแสดง แต่เป็นบุคลิกและตัวตนของเขาจริง ๆ โบลต์กล่าวว่าเคยทำแบบนั้นอยู่ 2-3 ครั้ง แล้วแฟน ๆ ก็ดูชอบใจ เขาเลยทำมาเรื่อย ๆ มันทำให้สนามกีฬาเต็มไปด้วยพลัง และพลังเหล่านั้นจะทำให้ผลงานดียิ่งขึ้นไปด้วย

ลีลาต่าง ๆ ของโบลต์ที่แฟน ๆ ได้เห็นในสนาม เป็นไปอย่างธรรมชาติ เพราะเขาเป็นคนสนุกสนาน แต่ในมุมที่ลึกกว่านั้น การแสดงออกแบบชิล ๆ ในช่วงจังหวะที่เข้าบล็อกสตาร์ทนั้นในทางจิตวิทยาแล้วถือว่าเป็นสุดยอดศิลปะของการควบคุมจิตใจตัวเอง เพราะยามปกติแล้วนักวิ่งจะพยายามรักษาสมาธิเอาไว้ให้ได้สูงสุดเพื่อรอเสียงลั่นไกและออกตัว

โบลต์กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามก็จริง แต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักษาสมาธิ ในทางตรงกันข้าม เขามีวิธีในการรักษาสมาธิเอาไว้ได้โดยที่ปราศจากความกลัวหรือความวิตกกังวลว่าจะทำผลงานได้ไม่ดี เรียกได้ว่าเป็นการปลดปล่อยจิตใจตัวเองให้สบาย โบลต์เผยถึงความลับของการเป็นมนุษย์สายฟ้าว่า เขาทำอะไรเรื่อยเปื่อย

โดยคำว่าเรื่อยเปื่อยของโบลต์​คือการคิดอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เรื่องของการวิ่งหรือเรื่องที่เขากำลังอยู่ที่เส้นสตาร์ทโดยมีแฟน ๆ หลายล้านคนทั่วโลกคอยจับตาดูการเคลื่อนไหว จากนั้นเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณ ที่เหลือที่เขาต้องทำก็คือแค่วิ่งไปให้สุดแรงเกิด แล้วสนุกกับบรรยากาศของการแข่งขันเท่านั้น เพราะช่วงเวลานั้นในขณะที่กำลังวิ่งแข่ง มันไม่มีอะไรให้คิด

มันมีแต่การทำสมาธิจากการสตาร์ทไปถึงการเร่งความเร็วให้มากที่สุดและการเปลี่ยนไปสู่การวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ความลับสุดท้ายที่เขาแตกต่างจากคนอื่น ๆ ก็คือ ความเชื่อมั่น และการไม่คิดว่าจะยอมอ่อนข้อให้ใครทั้งนั้น และทำหน้าที่ให้เต็มกำลัง สำหรับใครก็ตามที่คิดจะแข่งกับเขาก็นับเป็นคู่แข่งหมด ไม่ว่าจะ เป็นเพื่อน หรือแม้แต่ลูกชายวัย 5 ขวบ

สิ่งเหล่านี้คือส่วนประกอบที่ทำให้ นักวิ่งฝีเท้าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก กลายเป็น นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโล ผู้ไม่มีใครล้มได้ อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากเหรียญโอลิมปิกและสถิติโลก สิ่งที่ดีที่สุดที่โบลต์ได้มอบให้แก่แฟนกีฬาทุกคนบนโลกคือความสุขและความทรงจำ ทุกคนเฝ้ารอจะได้เห็นเขาลงสนาม รอดูลีลาของการฉลองชัยชนะ รอดูความยียวนของเขา รอด้วยหัวใจที่เต้นระรัวเสมอ

มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีนักวิ่งคนไหนในโลกทำได้มาก่อน และทำให้การแข่งโอลิมปิกคือกีฬาที่จะไม่มีใครยอมพลาด เพราะการเผลอเพียงไม่กี่วินาที  อาจหมายถึงการพลาดช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหนึ่งใน นักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

Usain Bolt

เหตุผลที่ทำให้ ยูเซน โบลต์ สมควรได้รับการยกย่องให้เป็น ตำนานแห่งวงการกรีฑาโลก

ยูเซน โบลต์ เป็นเจ้าของสถิติโลกการวิ่ง 100 เมตร 3 ครั้งที่ผ่านมา และเป็นเวลา 9 ปีมาแล้วนับแต่เขาทำสถิติโลกครั้งแรก เขาได้ทุบสถิติโลก 9.74 วินาทีของ อซาฟา พาวเวลล์ ไปด้วยเวลา 9.72 วินาที ในการแข่งขันเมื่อเดือน พ.ค. 2008 และทำเวลาได้ดีกว่าเก่าที่ 9.69 วินาทีในการแข่งขันโอลิมปิก ที่กรุงปักกิ่งของจีน ในปีเดียวกัน

ในการแข่งขัน กรีฑาชิงแชมป์โลก หรือเวิลด์แชมเปียนชิป ที่กรุงเบอร์ลินของเยอรมนี นักวิ่งฝีเท้าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ก็ทำลายสถิติของตัวเอง หลังวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 9.58 วินาที ย้อนไปเมื่อปี 1912 โดนัลด์ ลิปปินค็อตต์ นักกรีฑาชาวอเมริกัน ทำเวลาในการแข่งขันวิ่ง 100 ม. ที่กรุงสตอกโฮล์ม ของสวีเดน ได้ 10.6 วินาที ถือเป็นสถิติแรกที่ได้รับการบันทึกเอาไว้ โดยสหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ (IAAF) ที่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาใหม่ในขณะนั้น

ในปี 1968 จิม ไฮเนส เป็นคนแรกที่สร้างสถิติวิ่ง 100 ม. ด้วยเวลาต่ำกว่า 10 วินาทีอย่างไรก็ตาม โบลต์ระบุว่า เขาคือนักวิ่งคนแรกในรอบเกือบ 100 ปีที่ทำเวลาวิ่งได้ดีกว่าสถิติเดิมที่ ลิปปินค็อตต์ เคยทำไว้ในปี 1912 กว่า 1 วินาที

โบลต์ทำสถิติวิ่ง 100 ม.ด้วยเวลาต่ำกว่า 10 วินาทีมากที่สุด จากข้อมูลของ IAAF ที่จัดอันดับนักกรีฑาที่ทำเวลาในการวิ่ง 100 ม. ได้ต่ำกว่า 10 วินาทีบ่งชี้ว่า นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก ทำสถิติดังกล่าวได้มากที่สุดคือ 9 ครั้ง และมีนักวิ่งอยู่เพียงไม่กี่คนที่ทำเวลาได้ใกล้เคียงกับเขา โดยนับแต่ จิม ไฮเนส ก็มีคนทำเวลาวิ่ง 100 ม. ได้ต่ำกว่า 10 วินาทีอีก 124 คน

เขายังทำสถิติโลกในการวิ่ง 200 ม.ด้วย ไม่เพียงจะประสบความสำเร็จในการวิ่งประเภท 100 ม. แต่ยังรวมถึงประเภท 200 ม.ด้วย ทำให้เขาเป็นนักวิ่งเพียงคนเดียวที่ครองสถิติโลกในการวิ่งทั้งสองประเภทนับแต่ IAAF เริ่มใช้ระบบจับเวลาอัตโนมัติในปี 1977 ในมหกรรมโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง เมื่อปี 2008 โบลต์สามารถทุบสถิติการวิ่ง 200 ม. ในเวลา 19.32 วินาทีที่ ไมเคิล จอห์นสัน ชาวอเมริกันครองมานาน 12 ปี ลงได้ด้วยเวลา 19.30 วินาที

จากนั้นก็ทำลายสถิติของตัวเองด้วยเวลา 19.19 วินาทีในการแข่งขันปีถัดมาที่กรุงเบอร์ลิน เขามีฝีเท้าเสมอต้นเสมอปลายอย่างน่าทึ่ง นับแต่ปี 2008 เป็นต้นมา โบลต์ก็ชนะการแข่งโอลิมปิกและเวิลด์แชมเปียนชิปได้ทุกครั้ง ในมหกรรมโอลิมปิกที่นครรีโอเดจาเนโรของบราซิล เมื่อปีที่แล้ว โบลต์ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ คว้าเหรียญทองโอลิมปิกโอลิมปิกวิ่ง 3 รายการคือ 100 เมตร 200 เมตร และวิ่งผลัด 4×100 เมตร ได้สามสมัยซ้อน

อย่างไรก็ตาม เรื่องน่าเสียได้ก็ต้องมาเกิดขึ้นเมื่อ นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก ต้องคืนเหรียญทองโอลิมปิก วิ่งผลัด 4×100 เมตรของปี 2008 ไป หลังมีการตรวจพบว่า เนสตา คาร์เตอร์ เพื่อนร่วมทีมวิ่งผลัดใช้สารกระตุ้นต้องห้าม แต่คาร์เตอร์ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินต่อศาลอนุญาโตตุลาการทางด้านกีฬาในเวลาต่อมา

ส่วนการแข่งขันรายการเวิลด์แชมเปียนชิปของโบลต์ต้องมีจุดด่างพร้อย หลังทำได้เพียงเหรียญทองแดงในการแข่งขันที่กรุงลอนดอนปี 2017 และถูกตัดสิทธิ์การแข่งขันหลังจากออกตัวผิดกติกา ในการวิ่ง 100 ม. รายการเวิลด์แชมเปียนชิปที่เมืองแทกูของเกาหลีใต้ เมื่อปี 2011

ใครเอาชนะโบลต์ได้บ้าง ใครคือนักวิ่งเพียงไม่กี่คนที่ทำให้ นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก ต้องปราชัย?

นับแต่ปี 2008 เป็นต้นมา โบลต์พ่ายแพ้ในการแข่งขันประเภท 200 ม. เพียงครั้งเดียว โดยผู้ที่เอาชนะเขาได้ก็คือ โยฮัน เบลค เพื่อนร่วมชาติชาวจาเมกา ที่วิ่งแซงโบลต์ในการแข่งขันรายการเวิลด์แชมเปียนชิปที่จาเมกา เมื่อปี 2012 ส่วนผู้ที่เคยอาชนะโบลต์ในการวิ่ง 100 ม. ได้แก่ จัสติน กัทลิน, คริสเตียน โคลแมน, อซาฟา พาวเวลล์ และไทสัน เกย์

โบลต์เจอเพื่อนร่วมชาติหักเหลี่ยมโหด ในการชิงแชมป์แห่งชาติจาไมกาคัดเลือกโอลิมปิก พร้อมโดนทำลายสถิติที่ดีที่สุดไปได้ สร้างความฮือฮามากที่เพื่อนร่วมชาติสามารถเอาชนะ นักวิ่งฝีเท้าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ในการแข่งขันวิ่ง 100 เมตรชายการคัดเลือกโอลิมปิกพร้อมทำสถิติเร็วที่สุด

เบลคควบฝีเท้าเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก ด้วยเวลา 09.75 วินาทีทำลายสถิติที่ดีที่สุดปีนี้ของ นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก ซึ่งทำไว้ 09.76 วินาทีในการแข่งขันที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ขณะที่โบลต์เข้าเส้นชัยเป็นคนที่ 2 ด้วยเวลา 09.86 วินาทีส่วน อซาฟา เพาวล์ ซึ่งช้ากว่า โบลต์ เพียง 0.02 วินาทีก็ได้ตั๋วโอลิมปิกในลำดับที่ 3 สมทบกับเบลคและโบลต์ แม้จะมีรายงานว่า เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บหลังการวิ่งก็ตาม

อย่างไรก็ดี สถิติที่เร็วที่สุดในโลก ยังคงเป็นของโบลต์ นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก ซึ่งทำไว้ในกรีฑาชิงแชมป์โลก ปี 2009 ด้วยเวลา 09.58 วินาที

ติดตามเว็บไซต์ที่น่าสนใจเพิ่มเติม : มังงะ

อ่านบทความเพิ่มเติม >>> แพทริก มาโฮมส์