ประวัติ Cristiano Ronaldo

“Cristiano Ronaldo” นักฟุตบอลชาวโปรตุเกส หนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

ประวัติ Cristiano Ronaldo บุรุษแห่งประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล

Cristiano Ronaldo ( คริสเตียโน่ โรนัลโด ) ชื่อเต็มคือ Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro เป็นนักฟุตบอลชาวโปรตุเกส ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหน้าให้แก่อันนัศร์ สโมสรในซาอุดีโปรเฟสชันนัลลีก โดยเขามีความสูง 185 เซนติเมตร หรือ 6 ฟุต 1 นิ้ว ตำแหน่งที่เล่นคือ กองหน้าและปีก และเป็นกัปตันทีมชาติโปรตุเกส ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

จากผลงานที่เขาเคยทำไว้มากมาย โดยได้รับ รางวัลบาลงดอร์ 5สมัย และ รางวัลรองเท้าทองคำยุโรป 4สมัย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของผู้เล่นชาวยุโรป โรนัลโดยังครองสถิติสำคัญได้แก่ เป็นผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุด (183 นัด), ทำประตูมากที่สุด (140 ประตู) และทำแอสซิสต์มากที่สุด (42 ครั้ง) ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก อีกด้วย ป็นผู้เล่นคนเดียวที่ทำประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายห้าสมัย

ความเก่งกาจของเขายังไม่จบเท่านี้ เขายังเป็นผู้ทำประตูมากที่สุดในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรอบสุดท้าย (14 ประตู) เป็นผู้เล่นชายที่ทำประตูในนามทีมชาติโปรตุเกสมากที่สุด และเป็นผู้เล่นคนเดียวที่เป็นผู้ทำประตูสูงสุดประจำฤดูกาลในลีกสูงสุดของอังกฤษ สเปน และอิตาลี โรนัลโดชนะเลิศถ้วยรางวัล 32 รายการ เขาลงแข่งขันมากกว่า 1,100 นัด และทำประตูในการแข่งขันทางการมากกว่า 820 ประตู

จากที่เขาเคยเล่นฟุตบอลในนามของเยาวชน ตลอดจนเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส คนนี้ โดยเราได้รวบรวมเรื่องราว นักฟุตบอลที่ทํารายได้สูงสุดและรวยที่สุดของโลก มาให้ได้ชมกัน

Cristiano Ronaldo

จุดเริ่มต้น การเล่นฟุตบอลอาชีพกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน

Cristiano Ronaldo เข้าสู่เส้นทางสายฟุตบอลอาชีพเมื่อปี 1997 เริ่มต้นกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน กับชุดทีมระดับเยาวชน ในทีมอคาเดมี่ โรนัลโดพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาได้อย่างโดดเด่น ก่อนที่ในปี 2001 จะขึ้นสู่ชุดใหญ่ได้สำเร็จ เมื่ออายุได้เพียง 17 ปีเท่านั้น หลังได้มีโอกาสลงเล่นทีมชุดใหญ่ของ สปอร์ติ้ง นัดแรก ก็สามารถทำได้ 2 ประตู กับทีม โมไรเรนส์ โดยทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง

ทำให้ได้รับโอกาสลงสนามถึง 31 นัดในทุกรายการ ยิงได้ 5 ประตู ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับแข้งดาวรุ่งวัย ขณะเดียวกันเขาก็ยังติดทีมชาติโปรตุเกสชุดอายุต่ำกว่า 17 ปี อีกด้วย ซึ่งเป็นรายการศึกชิงแชมป์ยุโรป

หลังจากเสร็จภารกิจในศึกฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ยู-17 ชื่อของ Cristiano Ronaldo ได้เป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างในโลกลูกหนัง ตกเป็นเป้าหมายที่สโมสรดังทั่วยุโรปเริ่มให้ความสนใจ มีแมวมองจากทีมลีกชั้นนำของยุโรปจับตามองอย่างมากมาย กุนซือต่าง ๆ ยกให้เขาคือดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการฟุตบอลในประเทศโปรตุเกสสมัยนั้นทันที

กุนซือหนึ่งในนั้นคือ เชราร์ด อุลลิเย่ร์ ที่สมัยนั้นคุมทีม “ลิเวอร์พูล” ยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ก่อนที่จะล้มเลิกการล่าลายเซ็นเจ้าหนูวัย 17 ปี รายนี้ เนื่องจากเขามองว่า โรนัลโดยังเด็กเกิน โดยหารู้ไม่ว่าในอนาคตเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน กองหน้าที่เก่งที่สุดในโลก นักฟุตบอลที่ทํารายได้สูงสุดและรวยที่สุดของโลก

หลังจากนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเกมอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่น เมื่อเดือนสิงหาคม 2003 ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไปเยือน สปอร์ติ้ง ลิสบอน และเกมจบลงด้วยชัยชนะของ ลิสบอน 3-1 พร้อมกับฟอร์มสุดโหดของโรนัลโด ที่เล่นงานเกมรับของทีมผีแดง จนปั่นป่วนตลอดทั้งเกม ถึงขั้นที่บรรดานักเตะต้องไปบอกกุนซือ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ให้รีบไปกระชากตัวเจ้าดาวรุ่งฝอยทองคนนี้มาร่วมทีมโดยด่วน

“หลังจากเกมที่เราเจอกับสปอร์ติ้ง พวกลูกทีมผมต่างพูดถึงเขา (Cristiano Ronaldo) แบบไม่หยุดเลยในห้องแต่งตัว และตอนขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับหลังจบเกม พวกเขาก็มากระตุ้นให้ผมรีบไปเซ็นคว้าตัวมาเร็ว ๆ เลย เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นดาวรุ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยนะ” เฟอร์กูสัน กล่าว

และผ่านไปอีกแค่สัปดาห์เดียว โรนัลโดวัย 18 ปีก็มายืนโดดเด่นเป็นสง่าที่อยู่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ ทั้งยังคว้าสถิตินักฟุตบอล วัยทีน นักฟุตบอลที่ทํารายได้สูงสุดและรวยที่สุดของโลก ณ เวลานั้น

ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส แจ้งเกิดกับ ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ในการย้ายมายังถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โรนัลโดขอเสื้อหมายเลข 28 ซึ่งเป็นเบอร์เดียวกับที่เขาใส่กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน แต่เฟอร์กูสันกลับมอบเสื้อหมายเลข 7 ให้กับเขา โดยเลขเจ็ดนี้แหละ ผู้ที่สวมเลขนี้ล้วนเป็นแข้งระดับตำนานของปีศาจแดงอย่าง จอร์จ เบสต์, ไบรอัน ร็อบสัน, เอริค คันโตน่า และ เดวิด เบ็คแฮม ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่ากดดันสำหรับนักเตะที่ได้รับเกียรตินี้

แต่ไม่ใข่สำหรับ ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส คนนี้ เขารับเสื้อเบอร์เจ็ดมาเป็นแรงผลักดัน ให้ตัวเองต้องก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดผู้เล่น เหมือนตำนานเหล่านั้นให้ได้ ประกบกับการมียอดกุนซืออย่าง เฟอร์กูสันช่วยขัดเกลาและบ่มเพาะ ยิ่งทำให้ โรนัลโดพัฒนาฝีเท้าได้อย่างก้าวกระโดด ขึ้นไปเขย่าสังเวียนลูกหนังในศึกพรีเมียร์ลีกได้อย่างน่าทึ่ง

ในช่วงแรกที่โรนัลโดเล่นให้กับสโมสรเมืองผู้ดี เขาถูกวิจารณ์เกี่ยวกับสไตล์การเล่นที่มักจะ ฉายเดี่ยว ตะบี้ตะบันเลี้ยงลูกไปคนเดียวมากจนเกินไป รวมถึงการสับขาหลอกคู่แข่งที่ถูกนำมาใช้อย่างพร่ำเพรื่อ โดยปีแรกกับแมนฯ ยูไนเต็ด ในซีซั่น 2003-04 โรนัลโดทำผลงานเปรี้ยงปร้างมาก ซัดไป 6 ลูกจากการลงเล่น 40 นัดในทุกรายการ

หลังจากนั้นมา เขาก็ค่อย ๆ ปรับสไตล์การเล่นเพื่อทีมมากขึ้น ตลอดจนเพิ่มสภาพร่างกายและฝีเท้าที่แข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็น กองหน้าที่เก่งที่สุดในโลก สุดยอดนักเตะพรีเมียร์ลีกแบบไร้ข้อกังขา ด้วยผลงานพา แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยซ้อน ในฤดูกาล 2006-07, 2007-08 และ 2008-09 รวมถึงแชมป์อื่นๆ และเกียรติยศส่วนตัวอีกนับไม่ถ้วน

โดยเฉพาะในปี 2008 ซึ่งโรนัลโด้กวาดทั้งรางวัล บัลลงดอร์ และผู้เล่นยอดเยี่ยมของฟีฟ่ามาครองได้แบบสุดยอด เป็นการกระตุ้นให้ ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ที่กำลังกระหายแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มากที่สุดและเริ่มมองหานักเตะระดับโลกมาช่วยยกระดับทีม โดยมีชื่อโปรเจค กาลาติกอส 2 หรือการรวมเหล่านักเตะที่มีฝีเท้าระดับโลกมารวมไว้ด้วยกัน สร้างทีมรวมดาราที่ยิ่งใหญ่

และ โรนัลโดคือเป้าหมายแรกของ เรอัลมาดริด ที่จะเริ่มโปรเจคนี้ เวลานั้น ประธานของเรอัล มาดริด นามว่า ฟลอเรนติโน เปเรซ พร้อมทุ่มเงินมหาศาลเป็นสถิติโลกเวลานั้นถึง 100 ล้านปอนด์ (6,300 ล้านบาท) เพื่อที่จะคว้าตัวของ โรนัลโด้ ไปร่วมทัพให้ได้ ก่อนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะทำการเบรกเอาไว้และขอให้ โรนัลโด อยู่ช่วยทีมก่อนอีก 1 ปี

Cristiano Ronaldo

Cristiano Ronaldo กับเจ้ายุโรป ราชันชุดขาว พร้อมคว้าบัลลงดอร์อีก 4 สมัย

หลังจากตัดสินใจยุติเส้นทาง 6 ปีกับแมนยูโรนัลโดก็ย้ายมายัง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา สเปน ในฤดูกาล 2009-10 ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็น นักฟุตบอลที่ทํารายได้สูงสุดและรวยที่สุดของโลก ในขณะนั้น และในการเปิดตัวโรนัลโดกับมาดริด ปรากฏว่ามีแฟนบอลเข้ามาเป็นสักขีพยานที่สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว ถึง 80,000 คนเลยทีเดียว

การย้ายมายังเรอัลมาดริด ซึ่งเต็มไปด้วย ซูเปอร์สตาร์ระดับโลก เต็มทีมส่งเสริมทำให้ โรนัลโด ยกระดับฝีเท้าและผลงานได้สุดยอดมากขึ้นไปอีก พร้อมกับกวาดทุกแชมป์ ทุกรางวัล ทุบสถิติต่าง ๆ ลงได้เป็นว่าเล่น เรียกได้ว่าเป็นจุดพีกของ ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส รายนี้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ นักฟุตบอลที่ทํารายได้สูงสุดและรวยที่สุดของโลก ค้าแข้งกับมาดริด 9 ฤดูกาล และมีสถิติถล่มประตูให้กับทีมอย่างเป็นกอบเป็นกำ ด้วยผลงานลงสนามไปทั้งสิ้น 438 นัดในทุกรายการ ทะลวงตาข่ายคู่แข่งไปถึง 450 ลูก เฉลี่ยแล้ว โรนัลโดต้องมียิงได้ 1 ประตูในการลงสนามทุกนัด

โรนัลโด้คว้าโทรฟี่สำคัญกับเรอัล มาดริดทั้งแชมป์ลาลีกา 2สมัย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 4สมัย ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ 3สมัย และรางวัลบัลลงดอร์อีก 4สมัย แต่หลังจากจบซีซั่น 2017-18 ก็ถึงเวลาที่ โรนัลโด้ ต้องเปลี่ยนสีเสื้ออีกครั้ง

หลังจากไม่สามารถเจรจาเรื่องสัญญาฉบับใหม่กับมาดริดได้ลงตัว โดยเป็น “ม้าลาย” ยูเวนตุส มหาอำนาจแห่งศึกเซเรียอา อิตาลี ที่ยอมทุ่มเงิน 112 ล้านยูโร กระชากตัว ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส ในวัย 33 ปี ไปร่วมทีม พร้อมกับทุบสถิตินักเตะอายุเกิน 30 ปีที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก

Cristiano Ronaldo

ย้ายมายูเวนตุส ก็ยังทำให้เกิด “โรนัลโด้เอฟเฟ็กต์”

ในการย้ายมาสวมยูนิฟอร์ม “ม้าลาย” ลุยศึกเซเรียอา อิตาลี นักฟุตบอลที่ทํารายได้สูงสุดและรวยที่สุดของโลก ยังคงทำหน้าเป็นเครื่องจักรยิงประตูได้อย่างอันตรายเช่นเดิม เขาช่วยพาทีมคว้าแชมป์เซเรียอา 2 สมัยติดต่อกันในซีซั่น 2018-19 และ 2019-20 บวกกับแชมป์โคปปา อิตาเลีย 2020-21 อีกหนึ่งถ้วย ตั้งแต่ที่เขาเริ่มลงเล่นให้ทีม

นอกจากนี้ในซีซั่น 2020-2021 เขายังขึ้นแท่น ดาวซัลโวเซเรียอา ด้วยผลงานซัดไป 29 ประตู ทำให้เขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะคนแรกที่ครองตำแหน่งดาวซัลโว 3 ลีกใหญ่ของยุโรป ทั้งเซเรียอา อิตาลี, ลาลีกา สเปน และ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ต่อมาในช่วงซัมเมอร์ 2021 โรนัลโดต้องการที่จะย้ายออกจากยูเวนตุส พร้อมกับมีข่าวหนาหูว่า “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เดินหน้าลุยเต็มที่

และกำลังจะได้ตัว ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส กลับมาลุยศึกพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง แต่สุดท้ายการเจรจาก็ไม่สำเร็จ และเป็น “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กระโดดเข้ามาเสียบแทน พร้อมกับปิดดีลลงได้อย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าแฟนบอลปีศาจหลายคน ยังแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

Cristiano Ronaldo

การคัมแบ็ค แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หวนคืนสู่ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของ Cristiano Ronaldo

แมนยูประกาศบรรลุข้อตกลงทุกอย่าง วันที่ 31 สิงหาคม 2021 คือวันที่ทีมปีศาจแดงประกาศเปิดตัว โรนัลโด คัมแบ็กสู่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดอย่างเป็นทางการ ด้วยค่าตัว 15 ล้านยูโร บวกกับแอดออนอีก 8 ล้านยูโร ภายใต้สัญญา 2 ปี พร้อมมีออปชั่นขยายสัญญาออกไปได้อีกหนึ่งปี นักฟุตบอลที่ทํารายได้สูงสุดและรวยที่สุดของโลก

นอกจากนี้ ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส ในวัย 36 จะได้กลับมาสืบตำนาน CR7 สวมเสื้อหมายเลข 7 ให้แฟนผีแดงปลาบปลื้มกันอีกครั้ง หลังจากเจ้าของเสื้อเบอร์ 7 คนล่าสุดอย่าง เอดินสัน คาวานี่ เปลี่ยนไปใส่หมายเลข 21 แทน แดเนียล เจมส์ ที่ย้ายไปยัง ลีดส์ ยูไนเต็ด

“ผมไม่สามารถเริ่มต้นอธิบายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ได้เลย หลังจากผมได้เห็นเรื่องการย้ายกลับโอลด์ แทรฟฟอร์ด ถูกประกาศออกไปทั่วโลก มันเหมือนฝันที่เป็นจริง ทุกครั้งที่ผมกลับไปเล่นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แม้กระทั่งในฐานะคู่แข่ง ผมก็ยังรู้สึกถึงความรัก และความเคารพจากแฟนบอลบนอัฒจันทร์เสมอ” โรนัลโดเปิดเผยความรู้สึกผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว หลังคัมแบ็ก

“แชมป์ลีกครั้งแรก, แชมป์ฟุตบอลถ้วยครั้งแรก, ถูกเรียกติดทีมชาติโปรตุเกสครั้งแรก, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรก, คว้ารองเท้าทองคำครั้งแรก และคว้าบัลลงดอร์ครั้งแรกของผม ทั้งหมดเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์สุดพิเศษระหว่างผมกับ เร้ด เดวิลส์ ประวัติศาสตร์เหล่านั้นเคยถูกเขียนขึ้นในอดีต และประวัติศาสตร์จะถูกเขียนขึ้นอีกครั้ง! ผมสัญญา!”

หลังจากย้ายทีม”ปีศาจแดง” เป็นครั้งที่สอง ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส ก็ยังโชว์ฟอร์มร้อนร้อน ยิงไปถึง 24 กับ 3 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 38 นัดรวมทุกรายการ ซึ่งถือว่าผลงานส่วนตัวของ CR7 ยอดเยี่ยมอย่างมาก ทว่าผลงานของทีมแมนยูโดยรวมในซีซั่นนั้นไม่ดีเท่าไหร่ ได้เพียงอันดับ 6 ได้เล่นแค่ถ้วยยูโรป้าลีกเท่านั้น และยังมีกระแสว่า โรนัลโดไม่พอใจต้องการย้ายทีมไปเล่นกับทีมที่เล่นได้ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก

ติดตามเว็บไซต์ที่น่าสนใจเพิ่มเติม : หนังออนไลน์

อ่านบทความเพิ่มเติม >>> ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลทีมชาติอังกฤษ